นายวิบูลย์ อุตสาหจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA ผู้นำด้านธุรกิจสปาและเวลเนสของไทยและบริษัทสปารายแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (mai) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ผ่านคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในการย้ายหุ้น SPA เข้าไปทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มบริการ (SERVICE) หมวดธุรกิจการท่องเที่ยวและสันทนาการ (Tourism) มีผลตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. 2567 ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัทฯ ที่สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากธุรกิจ SME ที่ก่อร่างสร้างตัว สู่ SME Role Model ในฐานะบริษัทสปารายแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และ พร้อมก้าวไปอีกขั้นสู่ Asia’s Regional Spa Leader ผู้นำด้านธุรกิจสปาและเวลเนสของภูมิภาคเอเชีย ด้วยแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในระดับภูมิภาค การย้ายเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นโอกาสในการยกระดับธุรกิจของ SPA ให้มีการเติบโตอย่างมีศักยภาพ ตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น รวมถึงนักลงทุนสถาบันและส่วนบุคคล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนคู่ค้าพันธมิตรทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ดีให้กับบริษัท ด้วยกลยุทธ์ Data-Driven Spa & Wellness Company
“ตลอดระยะเวลาที่จดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอของ SPA เกือบ 10 ปี ตั้งแต่ First Trading Day เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 SPA ถือเป็นหุ้น High Growth มีแบรนด์พอร์ตโฟลิโอในหมวดธุรกิจสปาและเวลเนสที่หลากหลายครอบคลุมธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มีจำนวนสาขาเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยังเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน นักวิเคราะห์และกองทุน ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการดำเนินงานที่โดดเด่นตลอดมา และยังอยู่ในเมกะเทรนด์ทั้งธุรกิจท่องเที่ยวและสุขภาพที่มีโอกาสเติบโตและเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน” นายวิบูลย์ กล่าว
สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ SPA ผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในครึ่งปีแรก ปี 2567 มีรายได้รวม 790.57 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 135.59 ล้านบาท โดยในปี 2567 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตที่ 1,700 ล้านบาท ทางฝ่ายบริหารมั่นใจว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากไตรมาส 3 มีช่วงวันหยุดของทั้งตลาดระยะใกล้ (School Holiday) และตลาดระยะไกล (Summer Holiday) และการเข้าสู่ช่วงฤดูการท่องเที่ยวของภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมไปถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลในการยกเว้นวีซ่าเพื่อให้ถึงเป้าหมายรายได้เชิงนโยบายจากรัฐบาล 3.5 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.5 ล้านล้านบาทและรายได้จากนักท่องเที่ยวไทย 1 ล้านล้านบาท โดยมีรายได้ธุรกิจสปาจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่โตโดดเด่น
สำหรับแผนการเติบโตในปี 2567-8 บริษัทฯ มีแผนขยายสาขาใหม่หลากหลายสาขาในทำเล Prime Area ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยว ทั้งในรูปแบบสาขาของบริษัท (Own Store) และรับบริหารสปาในโรงแรม (Spa Operating in Hotel) โดยจะมี Flagship Project ของปีหน้าเป็นออนเซนแห่งที่ 3 Let’s Relax Onsen Lumpini บนพื้นที่กว่า 3,000 ตรม. ตั้งอยู่ในโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ลุมพินี ตรงข้าม One Bangkok และใกล้แหล่งทำเลธุรกิจของกรุงเทพฯ แสดงถึงศักยภาพการเป็นผู้นำด้านธุรกิจออนเซนของไทยอีกตำแหน่งหนึ่ง